การจัดแสงให้สวยระดับมืออาชีพ คุณเองก็ทำได้
สำหรับคนที่มีความรู้ด้านการตกแต่งบ้านคงเข้าใจดีถึงความสำคัญของแสง โดยเฉพาะ “การจัดแสง” เพราะแสงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ห้องออกมาดูดี มีชีวิตชีวา สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของห้อง ซึ่งเราสามารถนำความรู้ด้าน “การจัดแสง” มาประยุกต์ใช้ได้กับโคมไฟคริสตัลประเภทต่างๆ เช่น โคมไฟระย้า เป็นต้น แต่หลายคนที่ไม่มีความรู้ด้านนี้คงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยาก
นั่นจึงเป็นที่มาของบทความนี้ เพราะที่จริงในแง่ความสลับซับซ้อนของแสงนั้นถ้าเราเข้าใจถึงรูปแบบและองค์ประกอบต่างๆ ได้ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหา หลังจากที่อ่านบทความนี้จบ คุณจะรู้ว่าแท้จริงแล้วการจัดแสงในห้องให้สวยนั้นเป็นเรื่องที่สนุกและไม่ยากอะไรเลย

เริ่มต้นเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นควรแยกแสงออกเป็นชั้นๆ ลองนึกภาพห้องตอนกลางคืนที่มีแสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องลอดผ่านผ้าม่านหน้าต่าง บนโต๊ะมีโคมไฟอยู่ 1 โคมถูกเปิดอยู่เพื่อใช้อ่านหนังสือ ในขณะที่กำแพงฝั่งตรงข้ามเองก็มีภาพวาดถูกแขวนอยู่พร้อมกับมีดาวน์ไลท์อยู่ 1 ดวงส่องลงมาจากด้านบนโฟกัสที่ภาพวาดทำให้ภาพวาดนั้นเด่นขึ้น ถ้าเราลองแยกย่อยแสงออกมาจะเห็นว่ามีแหล่งกำเนิดแสงอยู่ 3 แหล่งคือ 1. ดวงจันทร์ 2. โคมไฟ 3. สปอร์ตไลท์ แสงเหล่านี้มีหน้าที่ต่างกันแต่ทำงานร่วมกันจนเกิดผลลัพธ์ที่น่าสนใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เองที่เราเรียกว่า “ชั้นของแสง”
จากตัวอย่างข้างต้นผู้อ่านคงจะพอเห็นภาพ ถ้าเรามัวแต่มองภาพรวมของห้องโดยที่ไม่คิดอะไรเราก็อาจมองว่ามันซับซ้อน แต่ถ้าเราแยกย่อยมันออกมาเป็นส่วนๆ ก็จะง่ายขึ้น ซึ่งหลักการสำคัญมันอยู่ที่ว่าเราจะผสมผสานแสงหลายๆ รูปแบบให้น่าสนใจได้อย่างไรเท่านั้นเอง ซึ่งนี่เป็นเทคนิคพื้นฐานของ “การจัดแสง”
ทีนี้เราจะลองมาโฟกัสให้แคบลงกว่านี้อีกโดยมองลึกไปถึงประเภทของแสง แสงภายในห้องแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

1. Ambient Light หรือแสงล้อมรอบ เป็นแสงบรรยากาศที่สามารถมาได้ทั้งจากธรรมชาติหรือมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ หลอดไฟ เป็นต้น แสงล้อมรอบเป็นแสงขั้นพื้นฐานที่จะให้ความสว่างโดยรวมกับห้องทั้งหมด ทำให้ห้องไม่มืดสนิท ถ้าเป็นห้องทั่วๆ ไปก็อาจเป็นแสงหลักหลังจากที่เรากดเปิดสวิตซ์ไฟ แสงชนิดนี้เป็นแสงลำดับแรกที่เราควรคำนึงถึง ควรดูว่าจะจัดแสงอย่างไรเพื่อให้ส่องสว่างอย่างทั่วถึง เช่น ถ้าเป็นห้องโถงใหญ่แล้วเราเลือกใช้โคมไฟคริสตัล ประเภทโคมไฟระย้าเป็นแสงล้อมรอบ ตัวโคมเองก็อาจเลือกเป็นโคมที่มีขนาดใหญ่เพื่อให้แสงส่องทั่วถึง เป็นต้น แสงล้อมรอบสามารถเป็นได้ทั้ง โคมไฟระย้า(chandelier) โคมไฟติดเพดาน(ceiling) โคมไฟติดผนัง(wall lamp) แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ และอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบเป็นหลัก

2. Accent Light หรือ Directional Light เป็นแสงขับเน้นที่ส่องเพื่อให้วัตถุใดวัตถุหนึ่งดูเด่นขึ้น ตามหลักการแล้วแสงขับเน้นที่จะทำให้เกิดความเด่นควรมีความสว่างเป็น 3 เท่าของแสงล้อมรอบ ถ้าเปรียบแสงล้อมรอบคือผืนผ้าใบสำหรับศิลปิน แสงขับเน้นก็เปรียบเสมือนฝีแปรงบนผืนผ้าที่ช่วยแต่งแต้มบรรยากาศในห้องให้มีความน่าสนใจ มีลูกเล่น ปกติแล้ววัตถุในห้องที่ถูกส่องด้วยแสงชนิดนี้มักจะกลายเป็นจุดสนใจอันดับแรกๆ แสงขับเน้นโดยมากแล้วมักจะเป็นสปอร์ตไลท์ ดาวน์ไลท์ หรือไฟราง

3. Task Light หรือแสงตามหน้าที่ เป็นแสงที่ใช้เจาะจงเฉพาะงาน เช่น โคมไฟสำหรับอ่านหนังสือ ถ้าเป็นห้องอาหารก็อาจเป็นโคมไฟคริสตัล ประเภทโคมไฟระย้าที่ถูกแขวนตรงกลางโต๊ะเพื่อให้ความสว่างระหว่างรับประทานอาหาร เนื่องจากเป็นแสงที่ใช้งานตามหน้าที่ คุณสมบัติที่ดีของแสงชนิดนี้จึงไม่ควรสว่างจ้าจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดเงารบกวนจนเสียสมาธิรวมไปถึงเพื่อป้องกันอาการเมื่อยล้าและปวดตาจากการอยู่กับมันนานๆ แม้จะเป็นแสงที่ใช้งานตามหน้าที่ แต่เราก็สามารถใช้แสงชนิดนี้ร่วมกับแสงล้อมรอบและแสงขับเน้นเพื่อให้เกิดความน่าสนใจโดยรวมได้

4. Decorative Light หรือแสงตกแต่ง เป็นแสงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ตกแต่งเพื่อความสวยงามโดยเฉพาะ มักเป็นแสงที่ได้จากโคมไฟเป็นหลัก เช่น โคมไฟคริสตัล โคมไฟตั้งโต๊ะ และอื่นๆ ควรเลือกให้ถูกสไตล์กับห้องที่จะใช้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสวยงามและความน่าประทับใจให้กับห้องได้เป็นอย่างดี
เมื่อเรารู้ประเภทของแสงกันไปแล้วที่นี้การวางแผน “การจัดแสง” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก จุดเริ่มต้นที่ดีอาจเริ่มด้วยการตั้งคำถาม เช่น ต้องการให้ห้องออกมาในโทนใด? เราต้องการใช้ประโยชน์อะไรจากห้องนี้? เฟอร์นิเจอร์มีอะไรบ้าง? เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการเลือกประเภทและการจัดวางตำแหน่งแสง
เรื่องต่อมาที่เราควรใส่ใจคืออุณหภูมิสีของแสงที่ส่งผลต่อบรรยากาศและจิตวิทยาการสื่อสาร ซึ่งสามารถอ่านได้จากบทความนี้ เลือก”อุณหภูมิสีของแสง” อย่างไรให้เหมาะกับห้องคุณ
ใส่ความเห็น